2 นางมาร คนละเรื่อง ... เดียวกัน
....เมื่อเสื้อผ้าเป็นมากกว่าสิ่งที่สวมใส่...
The devil wears Prada เป็น ภาพยนตร์ที่นำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับการทำงานในนิตยสารแฟชั่นระดับโลก ที่เล่าเรื่องโดยมุมมองจากคนภายนอกมองเข้าไปในองค์กร โดยมีตัวเอกของเรื่องคือ แอนดี้ แซคส์ ได้เข้ามาทำงานที่นิตยสาร Runway นิตยสารแฟชั่นชื่อดัง
ที่ในภาพยนตร์เรื่องนี้ย้ำประโยคที่ว่า “สาว ๆ เป็นล้านยอมตายเพื่องานนี้”
เพื่อเป็นเน้นย้ำว่าว่าผู้หญิงหลายคนอยากทำงานในตำแหน่งที่ แอนดี้ ได้รับ ส่วน The September Issue เป็นภาพยนตร์กึ่งสารคดีที่นำเสนอแง่มุมที่นิตยสาร Vogue America ต้องการให้คนภายนอกเห็นภาพลักษณ์ขององค์กรในแบบที่ถูกนำเสนอออกมา โดยผ่านเรื่องราวการทำนิตยสารฉบับเดือนกันยายน
The devil wears Prada และ The September Issue ให้นักแสดงสวมใส่เสื้อผ้าที่มีราคาแพงและมีชื่อเสียงในวงการแฟชั่น
เพื่อให้เหมาะสมกับการทำงานในนิตยสารแฟชั่นชั้นนำของโลก ผู้คนที่สวมใส่เสื้อผ้าจึงไม่ได้บริโภคเชิงประโยชน์ของเสื้อผ้าเพียงอย่างเดียว การสวมเสื้อผ้ามิใช่เพียงทำให้ร่างกายอบอุ่น หรือปกปิดร่างกาย แต่กำลังบริโภคเชิงสัญลักษณ์ไปด้วย ซึ่งหมายความว่าการสวมใส่เสื้อผ้าของแต่ละคนนั้นสามารถสะท้อนมุมมองรสนิยมทางด้านแฟชั่น ความชอบ
ค่านิยม
หรือแม้แต่แบ่งชนชั้นจากเสื้อผ้าที่สวมใส่ได้อีกด้วย
ในช่วงแรกที่ The devil wears
Prada เริ่มเรื่องขึ้น มีฉากที่ผู้หญิงหลายๆ
คนกำลังเลือกเสื้อผ้าแต่ละชิ้นขึ้นมาสวมใส่ แม้แต่ชุดชั้นในที่ถูกเสื้อผ้าชิ้นอื่นปกปิดไว้ ก็ต้องผ่านกระบวนการเลือกมาอย่างดี เสื้อผ้ากระเป๋ารองเท้าทุก ๆ
อย่างที่อยู่บนตัวเธอนั้นต้องดูดีดูเข้ากัน
ซึ่งฉากนี้จะเห็นความแตกต่างอย่างได้อย่างชัดเจน ว่าผู้หญิงส่วนใหญ่เลือกที่จะเลือกสวมใส่เสื้อผ้าแบบ
sign
value
คือการสวมเสื้อผ้าที่สามารถบ่งบอกถึงความชอบความหลงใหลเรื่องแฟชั่น สร้างภาพลักษณ์ให้ตัวเอง
และให้ผู้คนเห็นถึงความเป็นตัวคุณจากเสื้อผ้าที่สวมใส่ แต่
แอนดี้ แซคส์
เธอเลือกที่ประโยชน์ในการสวมใส่ (use value) ใส่แล้วให้ความรู้สึกสะดวกสบาย
แอนดี้เลือกรองเท้าธรรมดาที่ไม่ใช่ส้นสูงเพื่อให้เดินสะดวกเวลาทำงาน
ในตอนแรกที่ แอนดี้ แซคส์
ได้เข้ามาทำงานในตำแหน่งผู้ช่วยบรรณาธิการนิตยสาร Runway เธอพยายามจะรักษาความเป็นตัวเองไว้ โดยการใส่เสื้อผ้าในแบบของเธอเอง เธอคิดว่าเสื้อผ้าไม่ได้มีผลต่อการทำงาน มีครั้งหนึ่งที่มิแรนด้า พรีสลีย์
บรรณาธิการนิตยสาร Runway สุดเนี๊ยบเรียกชื่อเธอผิด โดยเรียกเธอว่า แอมมิลี่
ซึ่งเป็นชื่อผู้ช่วยอันดับ 1 ของมิแรนด้า มิแรนด้าเป็นผู้ที่จดจำรายละเอียดต่าง ๆ
ได้ทุกอย่าง
แต่เธอกลับจำชื่อเลขาอีกคนของเธอไม่ได้ โดยส่วนตัวเข้าใจฉากนี้ว่า
ภาพยนตร์กำลังจะสื่อว่าผู้ที่จะทำหน้าที่เลขาของมิแรนด้าได้ ต้องมีลักษณะเหมือนแอมมิลี่ คือมีทั้งความฉลาด ดูแลตัวเอง และสนใจด้านแฟชั่น และเมื่อแอนดี้กลับไปยังโต๊ะทำงานของเธอ เธอได้เปลี่ยนรองเท้าคู่เก่าเป็นรองเท้าส้นสูงของPrada
นั่นกำลังแสดงว่าเธอพร้อมจะเปลี่ยนตัวเองเป็นทาสแฟชั่นของมิแรนด้าแล้ว
ในเรื่อง The devil wears Prada
มิแรนด้า พรีสลีย์ จะดื่มกาแฟของสตาร์บัค ซึ่งเธออาจจะชอบเป็นการส่วนตัว
แต่นั่นก็ทำให้เห็นว่าเธอเลือกที่จะดื่มกาแฟที่มีชื่อมากกว่ากาแฟธรรมดา เธอไม่ได้ต้องการแค่การเสพกาแฟ
แต่เธอต้องการเสพแบรนด์ไปด้วยในเวลาเดียวกัน เพราะมันอาจจะดูเหมาะกับเสื้อผ้าราคาแพงของเธอ เมื่อเวลาเธอถือแก้วสตาร์บัคนั่นเอง
The devil wears Prada และ The September Issue ได้สร้างความเชื่อให้กับผู้ที่ได้ชมภาพยนตร์ที่ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงว่า
ผอม=ดูดี นางแบบที่ได้ลงนิตยสารจึงต้องผอม
เพราะนางแบบเหล่านั้นต้องสวมใส่ความหมายของเสื้อผ้าเข้าไปด้วย กล่าวคือ
ถ้านางแบบผอมเพียวเมื่อใส่เสื้อผ้าออกมาก็จะดูดี ผู้หญิงส่วนใหญ่ก็ต้องการซื้อเพื่อจะใส่ตาม กลับกันถ้านางแบบอ้วนไม่ดูแลตัวเอง
รูปลักษณ์ที่ออกมาหลังจากใส่เสื้อผ้า
ก็จะกลายเป็นภาพที่ไม่น่ามองเท่าไหร่นัก
ภาพยนตร์ทั้ง 2 เรื่องจึงมีฉากที่ย้ำความเชื่อนี้อยู่หลายฉาก ในเรื่อง The devil wears Prada
มีการนำเสนอว่านางแบบต้องใส่เสื้อผ้าไซส์ 2-4
เท่านั้น ถ้ามากกว่านี้ถือว่าอ้วน ส่วน The September Issue
มีฉากที่ช่างภาพของเรื่องถูกขอให้ไปถ่ายแบบร่วมกับนางแบบด้วย เมื่อแอนนา ได้เห็นรูปดังกล่าวจึงสั่งให้มีการรีทัชพุงของช่างภาพ
เพื่อให้รูปออกมาดีขึ้น หรือแม้แต่การที่แอนนาสั่งให้ทีมงานไปลดน้ำหนักก็เช่นกัน
The devil wears Prada มีฉากที่เลือกเข็มขัดสีฟ้า 2
เส้น ซึ่งบางคนอาจมองว่าไม่มีความแตกต่างกันเท่าไหร่ แต่ในวงการแฟชั่นไม่ใช่แบบนั้น สีที่ต่าง
ลักษณะที่ต่างกันแม้แต่นิดเดียวก็สามารถเป็นแฟชั่นที่ทำเงินได้ สินค้าที่ขายทั่วไปตามห้างสรรพสินค้ารวมถึงร้านค้าตามตลาด ล้วนได้อิทธิพลมาจากกระแสแฟชั่นทั้งนั้นดังนั้นทุกคนกำลังเสพแฟชั่นอยู่จากการแต่งกาย การเลือก
หรือสิ่งต่าง ๆ รอบตัว
เพียงแต่คุณไม่รู้ตัว
The September Issue เสนอมุมมองการทำงานในนิตยสาร
Vogue America เดือนกันยายน
ซึ่งเป็นสิ่งที่กำหนดแนวทางแฟชั่นในปีต่อไปทั้งปี เราจึงได้เห็นกระบวนการการเลือกแบบเสื้อผ้าต่างๆ
มาลงหนังสือ เช่น ฤดูหนาว กระบวนทัศน์ของการเลือกคือใส่เสื้อผ้าขนสัตว์
สีไม่ฉูดฉาด หรือฤดูร้อน เน้นเลือกใส่เสื้อผ้าบางเบา สีสันสดใส แต่นั้นก็ไม่ได้หมายความว่าเสื้อผ้าทุกตัวที่อยู่บนราวเสื้อผ้าจะลงนิตยสารได้ แต่เสื้อผ้าเหล่านั้นจะลงก็ต่อเมื่อได้รับการชี้นิ้วเลือกจากแอนนา
วินทัวร์ นั่นเอง
นิตยสารVogue เดือนกันยายน แอนนาได้เลือกผู้ที่ได้ถ่ายภาพลงปกเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงของอเมริกา ซึ่งนั่นเป็นจุดกำเนิดของนิตยสารVogue เล่มแรกที่นำเซเลปมาเป็นปก ทำให้เราเห็นว่าในสังคมผู้ที่มีชื่อเสียงถือว่าเป็นผู้ที่มีอำนาจสามารถดึงดูดความสนใจจากผู้คนหมู่มากได้
ดังนั้นเสื้อผ้าที่ผู้ที่ขึ้นปกใส่ก็ย่อมได้รับความนิยมความสนใจจากผู้อ่านและมันก็กลายเป็นเทรนด์แฟชั่นในปีต่อไป
ซึ่งถ้าเปรียบแฟชั่นเป็นประเทศ แอนนา วินทัวร์
ก็คือผู้นำ เธอมีอำนาจเด็ดขาดในประเทศนี้
ผู้หญิงที่อ่านหนังสือ Vogue หรือผู้ที่หลงใหลในแฟชั่นเป็นข้าราชการของเธอ ส่วนผู้หญิงทั่วไปคือประชาชนคนธรรมดา แม้ว่าคนทั่วไปจะไม่ได้ตามแฟชั่น
แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าแฟชั่นก็ยังมีอิทธิพลต่อชีวิต เพราะแค่คุณมีเสื้อผ้าหลายๆสีในตู้ นั่นก็แสดงว่าคุณได้เดินตามแฟชั่นแล้ว อาจจะเปรียบเหมือนเพื่อนผู้หญิงของแอนดี้ แซคส์ นางเอกในเรื่อง The devil wears
Prada ที่เธอดูจะไม่ค่อยชอบมิแรนด้าเอามาก ๆ
แต่เมื่อแอนดี้ให้กระเป๋าราคาแพงแก่เธอ
เธอก็ดีใจจนออกนอกหน้านอกตา
ถึงขนาดเอ่ยปากขอของเหลือใช้ของมิแรนด้า
ให้แอนดี้เอามาให้เธออีก ท้ายที่สุดแล้วแม้คุณจะปฏิเสธแฟชั่นเพียงใด แต่ลึกๆ แล้วใจคุณก็ต้องการมันอยู่ดี และแค่คุณถือนิตยสาร Vogue คุณก็กลายเป็นแฟชั่นนิสต้าโดยไม่รู้ตัวแล้ว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น