...ข่าวหลอกคน หรือ
คนหลอกข่าว...
ภาพยนตร์เรื่อง
Shattered
Glass กล่าวว่า “ ข่าวคือ
ศิลปะจับพฤติกรรมมนุษย์” ตัวเอกในเรื่องคือ สตีเฟ่น กลาส เด็กหนุ่มวัย 24 นักเขียนผู้มีชื่อเสียง ที่ทำงานให้กับ The New Republic เขาจึงเลือกทำข่าวที่มีประเด็นที่โดดเด่น
สร้างความหวือหวา มีสีสัน ความแปลกใหม่ให้กับข่าวที่เขาทำ เพราะรู้ดีว่ามนุษย์อ่านข่าวเพราะสนองความอยากรู้อยากเห็นของตัวเอง จน สตีเฟ่น กลาส
มองข้ามจรรยาบรรณของการทำข่าวทั้งหมดไป
สตีเฟ่น กลาส
ใช้องค์ประกอบข่าวเรื่องของ “ความแปลก”
ทำให้ข่าวของเขามีความแตกต่าง
ผู้คนอยากอ่านเรื่องที่ตัวเองไม่เคยรู้มาก่อน เพราะเบื่อกับการเสนอข่าวเดิม ๆ สฟีเต่น กลาส เขียนเรื่องที่เขาคิดขึ้นโดยอาจจะมีเรื่องจริงแค่เพียงเสี้ยวเดียว
ซึ่งผู้อ่านอาจจะคิดว่าสิ่งที่เขาเขียนลงไปนั้นเป็นเรื่องจริงทั้งหมด อย่าว่าแต่คนอ่านข่าวเลย กองบรรณาธิการที่ทำงานใน The New Republic
ก็เชื่อว่าเรื่องที่สตีเฟ่น กลาส เขียน
เพราะเขามีเทคนิคในการเล่าเรื่องที่ตื่นเต้น เร้าใจ
บางเรื่องก็สามารถเรียกเสียงหัวเราะขบขันจากเพื่อนร่วมงานได้ ทำให้คนเหล่านั้นมองข้ามเนื้อหาสาระไป พวกเขาสนใจแค่ลีลาการเล่าเรื่อง
กรณีของ สตีเฟ่น
กลาส ทำให้เราฉุกคิดถึงนักข่าวบ้านเราในปัจจุบัน
คนไทยนิยมเสพลีลาการเล่าเรื่องมากกว่าเนื้อข่าว
เห็นได้จากรายการเล่าข่าวที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ทั้ง ๆ ที่เกือบทุกช่องก็นำเสนอข่าวที่เหมือนกัน แต่แตกต่างกันที่วิธีการนำเสนอ บางครั้งที่เราเชื่อว่าข่าวนั้นเป็นความจริง
อาจจะไม่ใช่เพราะเนื้อหาสาระของข่าว แต่เราเชื่อในกลวิธีการประกอบสร้างต่าง ๆ วิธีการเล่า สีหน้า
ท่าทาง น้ำเสียง
และลีลาการเล่าของผู้เล่าข่าวนั้น ที่ทำให้ข่าวดูน่าเชื่อถือ มีความสมจริง
จนเราคิดกันไปเองว่ามันคือความจริง
Wag the dog นำเสนอการสร้างข่าวเพื่อเบี่ยงเบนประเด็นความสนใจจากคนรับข่าว คือในภาพยนตร์เป็นการนำเสนอเรื่องราว
11 วัน ก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐอเมริกา โดยตอนนั้นมีข่าวว่าประธานาธิบดีคนปัจจุบันได้ไปล่วงละเมิดทางเพศเนตรนารีคนหนึ่ง ทำให้กลายเป็นประเด็นร้อน
ฝ่ายคู่แข่งฝั่งตรงข้ามนำประเด็นฉาวนี้มาโจมตีเพื่อลดคะแนนนิยมของประธานาธิบดีคนปัจจุบัน
คอนราด บรีน ผู้ดูแลภาพลักษณ์ของประธานาธิบดีคนปัจจุบันจึงไปขอความร่วมมือกับ
สแตนลีย์ มอสส์ ผู้กำกับหนังฮอลลีวูด เพื่อสร้างประเด็นข่าวสงครามในประเทศอัลเบเนีย ที่มีทหารสหรัฐอเมริกาไปช่วยเหลือเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ
และเพิ่มคะแนนนิยมในตัวประธานาธิบดีคนปัจจุบัน ทำให้ข่าวล่วงละเมิดทางเพศจากที่เคยลงข่าวหน้าหนึ่ง ก็กระเด็นไปอยู่หน้าท้ายๆ
Wag the dog ทำให้นึกถึงคำว่า “หนังข่าว” เพราะเรื่องราวสงครามในอัลเบเนียทั้งหมด เป็นเรื่องราวในจินตนาการของแสตนลีย์
ทุกกระบวนการผลิตทั้งเนื้อเรื่องหรือแม้แต่เพลงประกอบ มันเป็นขั้นตอนของการผลิตภาพยนตร์ ยิ่งข่าวสะเทือนอารมณ์ผู้อ่านมากเท่าไหร่ ยิ่งได้รับความนิยมมากเท่านั้น
โดยในภาพยนตร์มีฉากที่เด็กหญิงคนหนึ่ง ถูกนำมาแสดงเป็นเด็กชาวอัลเบเนียน ที่กำลังอุ้มลูกแมวหนีภัยสงคราม เมื่อนำเสนอภาพนี้ออกไปย่อมสะเทือนใจกับผู้รับข่าว
ซึ่งไม่มีใครตั้งแง่สงสัยเลยว่าเป็นเรื่องที่กุขึ้น
ผู้คนเชื่อว่าเป็นความจริงเพราะเชื่อว่าภาพข่าวจากสื่อมีหน้าที่นำเสนอความจริง แต่ภาพที่ปรากฏกับความเป็นจริง (reality) นั้น เป็นการสร้างภาพขึ้นทั้งหมด สื่อมวลชนถูกหลอกจากการสร้างภาพ แม้แต่แมวที่ปรากฏออกไปในภาพข่าว ความจริง (truth) ก็คือถุงข้าวโพด ส่วนภาพที่ตัดต่ออกมาเป็นลูกแมวสีขาวอยู่ในอ้อมกอดของเด็กหญิงเป็นข้อเท็จจริง
(fact) ซึ่งข้อเท็จจริงมันก็บอกอยู่แล้วว่า มีทั้ง
“เท็จ” (false) และ
“จริง” (true) ในตัวอย่างข่าวฉากนี้มันเป็น “เท็จ” ทั้งหมด
เมื่อชมภาพยนตร์ทั้ง
2 เรื่องนี้จบแล้ว
ได้ทำให้เห็นมุมมองของการทำข่าว มายาคติของข่าวก็คือ
การทำให้คนเชื่อว่าเรื่องที่เล่านั้นเป็นเรื่องจริง เกิดจากสถานการณ์จริง ยิ่งบอกว่ามีแหล่งอ้างอิง ยิ่งน่าเชื่อถือ เหมือนที่ สตีเฟ่น กลาส
ในเรื่อง Shattered Glass สร้างสถานการณ์ทั้งหมดขึ้นมา ทั้งที่ความจริงแล้ว
ถ้าเราไม่ได้เข้าไปอยู่ในสถานการณ์การเกิดข่าว หรือจุดเกิดเหตุ เราไม่สามารถรู้ได้เลยว่าข่าวที่นำเสนอนั้นจริงหรือเท็จอย่างไร ความสงสัยในข้อนี้จึงทำให้เกิดการนำเสนอข่าวในเหตุการณ์จริง คือการลงพื้นที่ไปทำข่าว ให้นักข่าวรายงานข่าวจากจุดเกิดเหตุในช่วงเวลาขนาดนั้น เสนอข่าวแบบ Real Time ทำให้คนเชื่อว่าข่าวนั้นเรื่องจริง แต่ถึงจะรายงานข่าวแบบลงพื้นที่ บางครั้งมุมกล้องที่ใช้ในการนำเสนอภาพข่าว ก็อาจจะไม่ได้ถูกนำเสนอเรื่องราวออกมาทั้งหมด หรือสามารถใช้เทคโนโลยีการตัดต่อทำให้ความจริงถูกปกปิด บิดเบือนได้ หรือสร้างเรื่องขึ้นมาใหม่ แบบที่เรื่อง wag the dog ทำข่าวสงครามในอัลเบเนียขึ้น
ยิ่งไปกว่าการลงพื้นที่ในการทำข่าวแล้ว คือการนั่งอ่านข่าวในสตูดิโอ เพราะ
ถ้าพูดกันจริง ๆ ตัวคนอ่านก็ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ บางทีอาจจะมีข้อมูลข่าวเบื้องต้นพอๆ
กับเราด้วยซ้ำ แต่เพราะมายาคติของข่าว
คือการทำให้เชื่อว่า ข่าวที่เล่านั้นเป็นความจริง จึงต้องมีการประกอบความจริงขึ้นมา ให้ข่าวน่าเชื่อถือ เช่นใช้กลวิธีในการเล่าให้น่าสนใจ ดึงดูดใจ
มีการสอดแทรกข้อคิดเห็นของตัวผู้เล่าข่าว
แสดงสีหน้า ท่าทางให้สมจริง
ยิ่งกลวิธีการนำเสนอข่าวน่าสนใจเท่าไหร่
ข่าวยิ่งได้รับความสนใจมากเท่านั้น เหมือนที่ สตีเฟ่น กลาส พยายามเล่าเรื่องให้กองบรรณาธิการ The New Republic ฟัง โดยอาศัยสีหน้าท่าทาง ทำให้คนฟังเพลิดเพลิน จนลืมเนื้อหาของข่าว
สุดท้ายแล้ว
ไม่ว่าจะ ข่าวหลอกคน หรือ คนหลอกข่าว ก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของคนรับข่าว ควรมีวิจารณญาณในการรับข่าวสาร เฉกเช่นสำนวนไทยที่ว่า “ฟังหู ไว้หู”