บทความที่ได้รับความนิยม

วันอังคารที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

...ข่าวหลอกคน หรือ คนหลอกข่าว...



...ข่าวหลอกคน   หรือ   คนหลอกข่าว...


ภาพยนตร์เรื่อง Shattered  Glass  กล่าวว่า “ ข่าวคือ ศิลปะจับพฤติกรรมมนุษย์” ตัวเอกในเรื่องคือ สตีเฟ่น กลาส เด็กหนุ่มวัย 24 นักเขียนผู้มีชื่อเสียง   ที่ทำงานให้กับ The New Republic  เขาจึงเลือกทำข่าวที่มีประเด็นที่โดดเด่น สร้างความหวือหวา   มีสีสัน    ความแปลกใหม่ให้กับข่าวที่เขาทำ    เพราะรู้ดีว่ามนุษย์อ่านข่าวเพราะสนองความอยากรู้อยากเห็นของตัวเอง  จน สตีเฟ่น กลาส มองข้ามจรรยาบรรณของการทำข่าวทั้งหมดไป

สตีเฟ่น กลาส ใช้องค์ประกอบข่าวเรื่องของ “ความแปลก”  ทำให้ข่าวของเขามีความแตกต่าง   ผู้คนอยากอ่านเรื่องที่ตัวเองไม่เคยรู้มาก่อน   เพราะเบื่อกับการเสนอข่าวเดิม ๆ    สฟีเต่น กลาส เขียนเรื่องที่เขาคิดขึ้นโดยอาจจะมีเรื่องจริงแค่เพียงเสี้ยวเดียว ซึ่งผู้อ่านอาจจะคิดว่าสิ่งที่เขาเขียนลงไปนั้นเป็นเรื่องจริงทั้งหมด   อย่าว่าแต่คนอ่านข่าวเลย   กองบรรณาธิการที่ทำงานใน  The New Republic ก็เชื่อว่าเรื่องที่สตีเฟ่น กลาส เขียน  เพราะเขามีเทคนิคในการเล่าเรื่องที่ตื่นเต้น   เร้าใจ  บางเรื่องก็สามารถเรียกเสียงหัวเราะขบขันจากเพื่อนร่วมงานได้   ทำให้คนเหล่านั้นมองข้ามเนื้อหาสาระไป   พวกเขาสนใจแค่ลีลาการเล่าเรื่อง 

กรณีของ สตีเฟ่น กลาส ทำให้เราฉุกคิดถึงนักข่าวบ้านเราในปัจจุบัน   คนไทยนิยมเสพลีลาการเล่าเรื่องมากกว่าเนื้อข่าว  เห็นได้จากรายการเล่าข่าวที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก   ทั้ง ๆ ที่เกือบทุกช่องก็นำเสนอข่าวที่เหมือนกัน   แต่แตกต่างกันที่วิธีการนำเสนอ   บางครั้งที่เราเชื่อว่าข่าวนั้นเป็นความจริง อาจจะไม่ใช่เพราะเนื้อหาสาระของข่าว แต่เราเชื่อในกลวิธีการประกอบสร้างต่าง ๆ วิธีการเล่า   สีหน้า   ท่าทาง  น้ำเสียง และลีลาการเล่าของผู้เล่าข่าวนั้น   ที่ทำให้ข่าวดูน่าเชื่อถือ  มีความสมจริง   จนเราคิดกันไปเองว่ามันคือความจริง    

Wag the dog นำเสนอการสร้างข่าวเพื่อเบี่ยงเบนประเด็นความสนใจจากคนรับข่าว    คือในภาพยนตร์เป็นการนำเสนอเรื่องราว 11 วัน ก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐอเมริกา  โดยตอนนั้นมีข่าวว่าประธานาธิบดีคนปัจจุบันได้ไปล่วงละเมิดทางเพศเนตรนารีคนหนึ่ง  ทำให้กลายเป็นประเด็นร้อน  ฝ่ายคู่แข่งฝั่งตรงข้ามนำประเด็นฉาวนี้มาโจมตีเพื่อลดคะแนนนิยมของประธานาธิบดีคนปัจจุบัน
คอนราด บรีน  ผู้ดูแลภาพลักษณ์ของประธานาธิบดีคนปัจจุบันจึงไปขอความร่วมมือกับ สแตนลีย์ มอสส์  ผู้กำกับหนังฮอลลีวูด   เพื่อสร้างประเด็นข่าวสงครามในประเทศอัลเบเนีย   ที่มีทหารสหรัฐอเมริกาไปช่วยเหลือเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ และเพิ่มคะแนนนิยมในตัวประธานาธิบดีคนปัจจุบัน    ทำให้ข่าวล่วงละเมิดทางเพศจากที่เคยลงข่าวหน้าหนึ่ง    ก็กระเด็นไปอยู่หน้าท้ายๆ

Wag the dog ทำให้นึกถึงคำว่า “หนังข่าว” เพราะเรื่องราวสงครามในอัลเบเนียทั้งหมด   เป็นเรื่องราวในจินตนาการของแสตนลีย์   ทุกกระบวนการผลิตทั้งเนื้อเรื่องหรือแม้แต่เพลงประกอบ   มันเป็นขั้นตอนของการผลิตภาพยนตร์   ยิ่งข่าวสะเทือนอารมณ์ผู้อ่านมากเท่าไหร่   ยิ่งได้รับความนิยมมากเท่านั้น

โดยในภาพยนตร์มีฉากที่เด็กหญิงคนหนึ่ง  ถูกนำมาแสดงเป็นเด็กชาวอัลเบเนียน   ที่กำลังอุ้มลูกแมวหนีภัยสงคราม   เมื่อนำเสนอภาพนี้ออกไปย่อมสะเทือนใจกับผู้รับข่าว   ซึ่งไม่มีใครตั้งแง่สงสัยเลยว่าเป็นเรื่องที่กุขึ้น   ผู้คนเชื่อว่าเป็นความจริงเพราะเชื่อว่าภาพข่าวจากสื่อมีหน้าที่นำเสนอความจริง   แต่ภาพที่ปรากฏกับความเป็นจริง (reality) นั้น เป็นการสร้างภาพขึ้นทั้งหมด สื่อมวลชนถูกหลอกจากการสร้างภาพ  แม้แต่แมวที่ปรากฏออกไปในภาพข่าว  ความจริง (truth) ก็คือถุงข้าวโพด   ส่วนภาพที่ตัดต่ออกมาเป็นลูกแมวสีขาวอยู่ในอ้อมกอดของเด็กหญิงเป็นข้อเท็จจริง (fact)   ซึ่งข้อเท็จจริงมันก็บอกอยู่แล้วว่า มีทั้ง “เท็จ” (false)  และ “จริง” (true)  ในตัวอย่างข่าวฉากนี้มันเป็น “เท็จ” ทั้งหมด

เมื่อชมภาพยนตร์ทั้ง 2 เรื่องนี้จบแล้ว  ได้ทำให้เห็นมุมมองของการทำข่าว   มายาคติของข่าวก็คือ  การทำให้คนเชื่อว่าเรื่องที่เล่านั้นเป็นเรื่องจริง   เกิดจากสถานการณ์จริง   ยิ่งบอกว่ามีแหล่งอ้างอิง   ยิ่งน่าเชื่อถือ เหมือนที่ สตีเฟ่น กลาส ในเรื่อง Shattered  Glass  สร้างสถานการณ์ทั้งหมดขึ้นมา   ทั้งที่ความจริงแล้ว    ถ้าเราไม่ได้เข้าไปอยู่ในสถานการณ์การเกิดข่าว   หรือจุดเกิดเหตุ   เราไม่สามารถรู้ได้เลยว่าข่าวที่นำเสนอนั้นจริงหรือเท็จอย่างไร   ความสงสัยในข้อนี้จึงทำให้เกิดการนำเสนอข่าวในเหตุการณ์จริง   คือการลงพื้นที่ไปทำข่าว   ให้นักข่าวรายงานข่าวจากจุดเกิดเหตุในช่วงเวลาขนาดนั้น   เสนอข่าวแบบ Real Time   ทำให้คนเชื่อว่าข่าวนั้นเรื่องจริง   แต่ถึงจะรายงานข่าวแบบลงพื้นที่   บางครั้งมุมกล้องที่ใช้ในการนำเสนอภาพข่าว   ก็อาจจะไม่ได้ถูกนำเสนอเรื่องราวออกมาทั้งหมด    หรือสามารถใช้เทคโนโลยีการตัดต่อทำให้ความจริงถูกปกปิด    บิดเบือนได้   หรือสร้างเรื่องขึ้นมาใหม่   แบบที่เรื่อง  wag the dog ทำข่าวสงครามในอัลเบเนียขึ้น   

ยิ่งไปกว่าการลงพื้นที่ในการทำข่าวแล้ว   คือการนั่งอ่านข่าวในสตูดิโอ เพราะ ถ้าพูดกันจริง ๆ ตัวคนอ่านก็ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์   บางทีอาจจะมีข้อมูลข่าวเบื้องต้นพอๆ กับเราด้วยซ้ำ  แต่เพราะมายาคติของข่าว คือการทำให้เชื่อว่า ข่าวที่เล่านั้นเป็นความจริง   จึงต้องมีการประกอบความจริงขึ้นมา   ให้ข่าวน่าเชื่อถือ   เช่นใช้กลวิธีในการเล่าให้น่าสนใจ   ดึงดูดใจ   มีการสอดแทรกข้อคิดเห็นของตัวผู้เล่าข่าว   แสดงสีหน้า ท่าทางให้สมจริง   ยิ่งกลวิธีการนำเสนอข่าวน่าสนใจเท่าไหร่   ข่าวยิ่งได้รับความสนใจมากเท่านั้น เหมือนที่ สตีเฟ่น กลาส  พยายามเล่าเรื่องให้กองบรรณาธิการ The New Republic  ฟัง  โดยอาศัยสีหน้าท่าทาง   ทำให้คนฟังเพลิดเพลิน จนลืมเนื้อหาของข่าว

สุดท้ายแล้ว ไม่ว่าจะ  ข่าวหลอกคน   หรือ คนหลอกข่าว   ก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของคนรับข่าว  ควรมีวิจารณญาณในการรับข่าวสาร     เฉกเช่นสำนวนไทยที่ว่า “ฟังหู ไว้หู”    





2 นางมาร คนละเรื่อง ... เดียวกัน



2 นางมาร คนละเรื่อง ... เดียวกัน
....เมื่อเสื้อผ้าเป็นมากกว่าสิ่งที่สวมใส่...



The devil wears Prada เป็น ภาพยนตร์ที่นำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับการทำงานในนิตยสารแฟชั่นระดับโลก    ที่เล่าเรื่องโดยมุมมองจากคนภายนอกมองเข้าไปในองค์กร   โดยมีตัวเอกของเรื่องคือ แอนดี้ แซคส์  ได้เข้ามาทำงานที่นิตยสาร Runway นิตยสารแฟชั่นชื่อดัง   ที่ในภาพยนตร์เรื่องนี้ย้ำประโยคที่ว่า “สาว ๆ เป็นล้านยอมตายเพื่องานนี้” เพื่อเป็นเน้นย้ำว่าว่าผู้หญิงหลายคนอยากทำงานในตำแหน่งที่ แอนดี้ ได้รับ  ส่วน The September Issue เป็นภาพยนตร์กึ่งสารคดีที่นำเสนอแง่มุมที่นิตยสาร Vogue America ต้องการให้คนภายนอกเห็นภาพลักษณ์ขององค์กรในแบบที่ถูกนำเสนอออกมา   โดยผ่านเรื่องราวการทำนิตยสารฉบับเดือนกันยายน

The devil wears Prada และ The September Issue ให้นักแสดงสวมใส่เสื้อผ้าที่มีราคาแพงและมีชื่อเสียงในวงการแฟชั่น  เพื่อให้เหมาะสมกับการทำงานในนิตยสารแฟชั่นชั้นนำของโลก  ผู้คนที่สวมใส่เสื้อผ้าจึงไม่ได้บริโภคเชิงประโยชน์ของเสื้อผ้าเพียงอย่างเดียว  การสวมเสื้อผ้ามิใช่เพียงทำให้ร่างกายอบอุ่น   หรือปกปิดร่างกาย   แต่กำลังบริโภคเชิงสัญลักษณ์ไปด้วย   ซึ่งหมายความว่าการสวมใส่เสื้อผ้าของแต่ละคนนั้นสามารถสะท้อนมุมมองรสนิยมทางด้านแฟชั่น   ความชอบ  ค่านิยม  หรือแม้แต่แบ่งชนชั้นจากเสื้อผ้าที่สวมใส่ได้อีกด้วย

ในช่วงแรกที่ The devil wears Prada  เริ่มเรื่องขึ้น  มีฉากที่ผู้หญิงหลายๆ คนกำลังเลือกเสื้อผ้าแต่ละชิ้นขึ้นมาสวมใส่ แม้แต่ชุดชั้นในที่ถูกเสื้อผ้าชิ้นอื่นปกปิดไว้   ก็ต้องผ่านกระบวนการเลือกมาอย่างดี    เสื้อผ้ากระเป๋ารองเท้าทุก ๆ อย่างที่อยู่บนตัวเธอนั้นต้องดูดีดูเข้ากัน   ซึ่งฉากนี้จะเห็นความแตกต่างอย่างได้อย่างชัดเจน   ว่าผู้หญิงส่วนใหญ่เลือกที่จะเลือกสวมใส่เสื้อผ้าแบบ sign value   คือการสวมเสื้อผ้าที่สามารถบ่งบอกถึงความชอบความหลงใหลเรื่องแฟชั่น  สร้างภาพลักษณ์ให้ตัวเอง  และให้ผู้คนเห็นถึงความเป็นตัวคุณจากเสื้อผ้าที่สวมใส่  แต่   แอนดี้ แซคส์  เธอเลือกที่ประโยชน์ในการสวมใส่ (use value)  ใส่แล้วให้ความรู้สึกสะดวกสบาย   แอนดี้เลือกรองเท้าธรรมดาที่ไม่ใช่ส้นสูงเพื่อให้เดินสะดวกเวลาทำงาน 

ในตอนแรกที่    แอนดี้ แซคส์ ได้เข้ามาทำงานในตำแหน่งผู้ช่วยบรรณาธิการนิตยสาร Runway  เธอพยายามจะรักษาความเป็นตัวเองไว้  โดยการใส่เสื้อผ้าในแบบของเธอเอง  เธอคิดว่าเสื้อผ้าไม่ได้มีผลต่อการทำงาน   มีครั้งหนึ่งที่มิแรนด้า  พรีสลีย์   บรรณาธิการนิตยสาร Runway สุดเนี๊ยบเรียกชื่อเธอผิด   โดยเรียกเธอว่า   แอมมิลี่   ซึ่งเป็นชื่อผู้ช่วยอันดับ 1 ของมิแรนด้า   มิแรนด้าเป็นผู้ที่จดจำรายละเอียดต่าง ๆ ได้ทุกอย่าง   แต่เธอกลับจำชื่อเลขาอีกคนของเธอไม่ได้ โดยส่วนตัวเข้าใจฉากนี้ว่า    ภาพยนตร์กำลังจะสื่อว่าผู้ที่จะทำหน้าที่เลขาของมิแรนด้าได้   ต้องมีลักษณะเหมือนแอมมิลี่   คือมีทั้งความฉลาด    ดูแลตัวเอง  และสนใจด้านแฟชั่น  และเมื่อแอนดี้กลับไปยังโต๊ะทำงานของเธอ   เธอได้เปลี่ยนรองเท้าคู่เก่าเป็นรองเท้าส้นสูงของPrada  นั่นกำลังแสดงว่าเธอพร้อมจะเปลี่ยนตัวเองเป็นทาสแฟชั่นของมิแรนด้าแล้ว

ในเรื่อง The devil wears Prada มิแรนด้า พรีสลีย์ จะดื่มกาแฟของสตาร์บัค ซึ่งเธออาจจะชอบเป็นการส่วนตัว   แต่นั่นก็ทำให้เห็นว่าเธอเลือกที่จะดื่มกาแฟที่มีชื่อมากกว่ากาแฟธรรมดา เธอไม่ได้ต้องการแค่การเสพกาแฟ   แต่เธอต้องการเสพแบรนด์ไปด้วยในเวลาเดียวกัน    เพราะมันอาจจะดูเหมาะกับเสื้อผ้าราคาแพงของเธอ  เมื่อเวลาเธอถือแก้วสตาร์บัคนั่นเอง

The devil wears Prada และ The September Issue   ได้สร้างความเชื่อให้กับผู้ที่ได้ชมภาพยนตร์ที่ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงว่า ผอม=ดูดี นางแบบที่ได้ลงนิตยสารจึงต้องผอม  เพราะนางแบบเหล่านั้นต้องสวมใส่ความหมายของเสื้อผ้าเข้าไปด้วย   กล่าวคือ   ถ้านางแบบผอมเพียวเมื่อใส่เสื้อผ้าออกมาก็จะดูดี ผู้หญิงส่วนใหญ่ก็ต้องการซื้อเพื่อจะใส่ตาม    กลับกันถ้านางแบบอ้วนไม่ดูแลตัวเอง รูปลักษณ์ที่ออกมาหลังจากใส่เสื้อผ้า   ก็จะกลายเป็นภาพที่ไม่น่ามองเท่าไหร่นัก     ภาพยนตร์ทั้ง 2 เรื่องจึงมีฉากที่ย้ำความเชื่อนี้อยู่หลายฉาก   ในเรื่อง The devil wears Prada  มีการนำเสนอว่านางแบบต้องใส่เสื้อผ้าไซส์ 2-4 เท่านั้น  ถ้ามากกว่านี้ถือว่าอ้วน  ส่วน The September Issue   มีฉากที่ช่างภาพของเรื่องถูกขอให้ไปถ่ายแบบร่วมกับนางแบบด้วย   เมื่อแอนนา ได้เห็นรูปดังกล่าวจึงสั่งให้มีการรีทัชพุงของช่างภาพ  เพื่อให้รูปออกมาดีขึ้น หรือแม้แต่การที่แอนนาสั่งให้ทีมงานไปลดน้ำหนักก็เช่นกัน     

The devil wears Prada มีฉากที่เลือกเข็มขัดสีฟ้า 2 เส้น ซึ่งบางคนอาจมองว่าไม่มีความแตกต่างกันเท่าไหร่       แต่ในวงการแฟชั่นไม่ใช่แบบนั้น  สีที่ต่าง   ลักษณะที่ต่างกันแม้แต่นิดเดียวก็สามารถเป็นแฟชั่นที่ทำเงินได้   สินค้าที่ขายทั่วไปตามห้างสรรพสินค้ารวมถึงร้านค้าตามตลาด    ล้วนได้อิทธิพลมาจากกระแสแฟชั่นทั้งนั้นดังนั้นทุกคนกำลังเสพแฟชั่นอยู่จากการแต่งกาย  การเลือก  หรือสิ่งต่าง ๆ รอบตัว   เพียงแต่คุณไม่รู้ตัว

The September Issue เสนอมุมมองการทำงานในนิตยสาร Vogue America เดือนกันยายน   ซึ่งเป็นสิ่งที่กำหนดแนวทางแฟชั่นในปีต่อไปทั้งปี   เราจึงได้เห็นกระบวนการการเลือกแบบเสื้อผ้าต่างๆ มาลงหนังสือ เช่น  ฤดูหนาว กระบวนทัศน์ของการเลือกคือใส่เสื้อผ้าขนสัตว์ สีไม่ฉูดฉาด หรือฤดูร้อน เน้นเลือกใส่เสื้อผ้าบางเบา สีสันสดใส  แต่นั้นก็ไม่ได้หมายความว่าเสื้อผ้าทุกตัวที่อยู่บนราวเสื้อผ้าจะลงนิตยสารได้   แต่เสื้อผ้าเหล่านั้นจะลงก็ต่อเมื่อได้รับการชี้นิ้วเลือกจากแอนนา วินทัวร์  นั่นเอง

นิตยสารVogue เดือนกันยายน แอนนาได้เลือกผู้ที่ได้ถ่ายภาพลงปกเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงของอเมริกา   ซึ่งนั่นเป็นจุดกำเนิดของนิตยสารVogue เล่มแรกที่นำเซเลปมาเป็นปก   ทำให้เราเห็นว่าในสังคมผู้ที่มีชื่อเสียงถือว่าเป็นผู้ที่มีอำนาจสามารถดึงดูดความสนใจจากผู้คนหมู่มากได้   ดังนั้นเสื้อผ้าที่ผู้ที่ขึ้นปกใส่ก็ย่อมได้รับความนิยมความสนใจจากผู้อ่านและมันก็กลายเป็นเทรนด์แฟชั่นในปีต่อไป
 ซึ่งถ้าเปรียบแฟชั่นเป็นประเทศ แอนนา    วินทัวร์ ก็คือผู้นำ เธอมีอำนาจเด็ดขาดในประเทศนี้   ผู้หญิงที่อ่านหนังสือ Vogue  หรือผู้ที่หลงใหลในแฟชั่นเป็นข้าราชการของเธอ   ส่วนผู้หญิงทั่วไปคือประชาชนคนธรรมดา  แม้ว่าคนทั่วไปจะไม่ได้ตามแฟชั่น   แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าแฟชั่นก็ยังมีอิทธิพลต่อชีวิต   เพราะแค่คุณมีเสื้อผ้าหลายๆสีในตู้   นั่นก็แสดงว่าคุณได้เดินตามแฟชั่นแล้ว   อาจจะเปรียบเหมือนเพื่อนผู้หญิงของแอนดี้  แซคส์ นางเอกในเรื่อง The devil wears Prada ที่เธอดูจะไม่ค่อยชอบมิแรนด้าเอามาก ๆ แต่เมื่อแอนดี้ให้กระเป๋าราคาแพงแก่เธอ   เธอก็ดีใจจนออกนอกหน้านอกตา   ถึงขนาดเอ่ยปากขอของเหลือใช้ของมิแรนด้า  ให้แอนดี้เอามาให้เธออีก    ท้ายที่สุดแล้วแม้คุณจะปฏิเสธแฟชั่นเพียงใด   แต่ลึกๆ แล้วใจคุณก็ต้องการมันอยู่ดี  และแค่คุณถือนิตยสาร Vogue คุณก็กลายเป็นแฟชั่นนิสต้าโดยไม่รู้ตัวแล้ว


“See มูลค่า” เสื้อลายดอก ในเทศกาลสงกรานต์



See มูลค่า”  เสื้อลายดอก ในเทศกาลสงกรานต์


ปัจจุบันเราจะเห็นความความเปลี่ยนของเทศกาลสงกรานต์ในทุกยุคทุกสมัย  ที่ไม่ได้มีเพียงแค่การมาเล่นน้ำกันอย่างเดียว   แต่ยังมีอีกหลาย ๆ กิจกรรมที่ผสมผสานทำให้ทันสมัยและถูกใจคนรุ่นใหม่มากขึ้น  ซึ่งบางครั้งก็ถูกนำไปเปรียบเทียบกับสงกรานต์สมัยก่อน   กลายเป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์กันในหัวข้อ “สงกรานต์ 2 ยุค” ที่เราเคยเห็นกันอยู่บ่อย ๆ    แต่ไม่ว่าสงกรานต์ในแต่ละปีจะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางใด  ยังมีสิ่งหนึ่งที่ยังได้รับความนิยมและผูกขาดกับเทศกาลสงกรานต์อยู่เสมอ  นอกจากการเล่นสาดน้ำแล้ว   ก็คือการใส่เสื้อลายดอกในช่วงเทศกาลสงกรานต์นั่นเอง

เคยสงสัยกันหรือไม่ ?  ว่าทำไมในเทศกาลสงกรานต์เราต้องใส่เสื้อลายดอก ?   เราใส่เสื้อลายดอกกันเพื่ออะไร ?  ใส่ทำไม ?  ใครเป็นคนกำหนดว่าวันสงกรานต์เราต้องใส่เสื้อลายดอก ?  แล้วเสื้อลายดอกเกี่ยวกับวันสงกรานต์อย่างไร ?  และทำไมต้องเป็นลายดอก   ลายจุดลายขวางไม่ได้หรือ ?   คุณเคยหาคำตอบของคำถามเหล่านี้หรือไม่ ?  หรือเราใส่เสื้อลายดอกในวันสงกรานต์เพียงเพราะคนอื่นเขาก็ใส่กัน   ไม่เห็นต้องหาคำตอบให้ยุ่งยากวุ่นวาย  เอาเวลาที่จะหาคำตอบของคำถามเหล่านี้   ไปหาที่เล่นน้ำกันจะดีกว่าคุณคิดแบบนี้หรือไม่ ?  

ภาพที่เราเห็นกันจนชินตาในช่วงเทศกาลสงกรานต์นอกจากการเล่นน้ำตามท้องถนน  และกิจกรรมตามแหล่งท่องเที่ยวต่าง ๆ แล้ว  คือ  การนิยมใส่เสื้อลายดอกของคนไทย   ไม่ว่าจะเดินไปทางไหนก็มักจะปรากฏภาพของคนสวมใส่เสื้อลายดอกเต็มไปหมด    ร้านเสื้อผ้าตามท้องตลาดตลอดจนห้างสรรพสินค้าต่างงัดเอาเสื้อลายดอก   สารพัดดอก   เหมือนยกเอาสวนดอกไม้มาไว้บนเสื้อนำออกมาแข่งกันขาย    ทั้งดอกชบา   ดอกลีลาวดี    โดยลักษณะดีไซน์ที่แตกต่างยิ่งเป็นตัวดึงดูดความสนใจของลูกค้า   เรียกได้ว่าเทศกาลสงกรานต์เป็นช่วงเวลาทองของเสื้อลายดอกเลยก็ว่าได้  ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ?       

วันที่ 12 เมษายน  ที่ผ่านมา   ผู้เขียนได้มีโอกาสไปเดินตลาดเช้าแห่งหนึ่ง   ในย่านกรุงเทพมหานคร   และได้มีโอกาสพูดคุยกับแม่ค้าขายเสื้อผ้าร้านหนึ่ง  ได้ความดังนี้  

 “ช่วงเทศกาลสงกรานต์ปีนี้เสื้อลายดอกขายได้ดี   แต่ก็ยังน้อยกว่าปีก่อน ๆ   โดยลูกค้าที่มาซื้อเสื้อส่วนใหญ่เป็นผู้ใหญ่วัยทำงาน    บางคนมาซื้อเพราะที่ทำงานกำหนดให้ใส่   วัยรุ่นก็มีบ้าง    โดยเสื้อลายดอกที่ขายดีที่สุดในปีนี้คือเสื้อลายดอกสีม่วง  เนื่องจากอยู่ในช่วงเดือนเฉลิมพระชนมายุ 60 พรรษา   ของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จึงทำให้ลูกค้านิยมนำมาสวมใส่เพื่อเป็นการร่วมเฉลิมพระเกียรติ ในโอกาสพิเศษนี้ด้วย หลาย ๆ หน่วยงานจึงกำหนดให้พนักงานใส่สีม่วง ถึงจะขายดีแต่ปีนี้ตัวแม่ค้าก็ไม่กล้าซื้อเสื้อลายดอกมาตุนไว้เยอะๆ   เพราะสงกรานต์เมื่อปีที่แล้วซื้อตุนไว้เยอะก็ขายไม่หมด   พอหมดหน้าเทศกาลคนก็ไม่ค่อยซื้อเสื้อลายดอกใส่กัน  ดังนั้นจึงซื้อมาเท่าที่คิดว่าจะขายหมดเท่านั้น”

จากการพูดคุยกับแม่ค้าในครั้งนี้ทำให้เราเห็นว่า   ผู้คนมักซื้อเสื้อลายดอกแค่ในช่วงเทศกาลสงกรานต์เท่านั้น  ถ้าเลยช่วงเทศกาลสงกรานต์คนก็ไม่นิยมสวมใส่เสื้อลายดอกเท่าไหร่นัก   แต่ปีนี้พิเศษกว่าปีอื่น ๆ เพราะเสื้อลายดอกสีม่วงจะได้รับความนิยมมาก   เนื่องจากอยู่ในช่วงเดือนมหามงคลเฉลิมพระชนมายุ 60 พรรษา สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี  จึงทำให้ผู้เขียนวิเคราะห์ปรากฏการณ์ของการสวมใส่เสื้อลายดอกของคนไทยว่า  คนไทยนิยมสวมใส่เสื้อลายดอกในช่วงเทศกาลสงกรานต์เหมือนมันเป็นเรื่องปกติ   ที่ใส่กันในชีวิตประจำวันทุกวัน  เพื่อแสดงออกถึงความเป็นไทย  แต่ที่จริงแล้วไม่ใช่  คนไทยไม่ได้ใส่เสื้อลายดอกกันทุกวัน    ดังนั้นคนที่สวมเสื้อลายดอกไม่เพียงแต่บริโภคเชิงประโยชน์ (used value)   แต่กำลังสวมใส่ความหมายของเสื้อลายดอก(sing value) ที่ถูกกำหนดให้เป็นตัวแทนของวัฒนธรรมไทยในช่วงสงกรานต์ด้วย

หากจะกล่าวถึงประวัติและความเป็นมาของเสื้อลายดอก   ที่ทุกวันนี้ถูกยกให้เป็นภาพจำลองอดีต (simulacrum) ของเทศกาลสงกรานต์   ที่หลาย ๆ คนสวมใส่เสื้อลายดอกเพราะคิดว่าเป็นภาพตัวแทนของเทศกาลในอดีต   ที่แสดงความเป็นวัฒนธรรมไทยเพราะเชื่อว่าคนสมัยก่อนใส่เสื้อลายดอก     โดยมีผู้ให้ความหมายของเสื้อลายดอกในเทศกาลสงกรานต์ไว้ว่า

“ตามความเชื่อของคนไทยปีใหม่เป็นการเริ่มต้นของสิ่งดี ๆ   ซึ่งดอกไม้จะผลิดอกแรกแย้มในช่วงหน้าร้อน   ให้ความหมายที่ดีในแง่ของการเริ่มต้น  รวมกับสีสันที่แต่งเติมให้สวยงาม   และยังสะท้อนถึงคุณค่าทางความงามที่เป็นเอกลักษณ์และวัฒนธรรมของไทย” (ไทยรัฐทีวี)

ความเป็นมาของเสื้อลายดอกนั้นสันนิษฐานว่าน่าจะมาจากชาว Aloha  ที่อาศัยอยู่บนเกาะ ฮาวาย   เรียกว่าเสื้อฮาวาย  เดิมใช้ผ้ากิโมโนที่เป็นผ้าชุดประจำชาติของประเทศญี่ปุ่นมาตัดเย็บ   ต่อมาใช้ผ้าอะไรก็ได้ไม่จำเป็นต้องใช้ผ้ากิโมโน  และใส่ลวดลายดอกไม้บนเกาะลงไปในตัวเสื้อ   เลือกใช้สีสันฉูดฉาดเพื่อความสดใส  ซึ่งคนไทยก็มีเสื้อลายดอก   แต่เป็นคอกลม   ที่ได้รับอิทธิพลมาจากเสื้อของคนชาติจีน  เรียกว่า เสื้อคอกลม ลายดอก   พอมีผู้คนใส่เสื้อลายดอกของชาวฮาวายกันอย่างแพร่หลาย มีการวางขายทั่วไป  ก็เกิดความสับสนระหว่างเสื้อคอกลม  ลายดอกกับเสื้อฮาวาย  ต่อมาพนักงานห้างต่าง ๆ ก็เริ่มมีการนำมาใส่มากขึ้นจนนิยมแพร่หลายในช่วงเทศกาลสงกรานต์นั่นเอง   (Mthainews)

อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้เห็นว่าเสื้อหลายดอกได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก   จนถูกยกให้เป็น signature และเป็น simulacrum  ของเทศกาลสงกรานต์ก็คือ  เศรษฐกิจและเม็ดเงินที่สะบัดในธุรกิจการผลิตเสื้อลายดอก   ยิ่งในปีนี้มีการรณรงค์ให้เล่นสงกรานต์แบบวิถีไทย   ยิ่งทำให้เสื้อลายดอกมียอดขายเพิ่มขึ้นอีก 10 - 20 %   โดยราคาเสื้อลายดอกต่อตัวอยู่ที่ราคาประมาณ 150 - 250 บาท  เมื่อขายตามท้องตลาด   โดยเมื่อเสื้อลายดอกเหล่านี้ถูกนำไปขายในห้างสรรพสินค้ายิ่งทำให้ราคาสูงขึ้นจากเดิมเป็น  250 – 450  บาท เลยทีเดียว  ทำให้ผู้ผลิตเสื้อลายดอกได้รับกำไรมหาศาลในเทศกาลสงกรานต์   แต่เมื่อหมดช่วงสงกรานต์ไป  เสื้อลายดอกก็ไม่ได้รับความนิยม   เพราะตามปกติคนไทยไม่นิยมใส่เสื้อลายดอกกันหากไม่ใช่ช่วงเทศกาล   อาจเนื่องมาจากตามสื่อโทรทัศน์  หรือสื่อต่าง ๆ ในประเทศไทย   นำเสนอเสื้อลายดอกเป็นตัวแทนของความเป็นลูกทุ่ง  บ้านนอก  ทำให้คนไทยอายที่จะใส่ในเวลาปกติ   

ด้วยเหตุที่กล่าวมาข้างต้นจึงส่งผลให้เสื้อลายดอกกลายมาเป็นภาพจำลองในอดีต (simulacrum) ของเทศกาลสงกรานต์  บางคนที่ไม่รู้ก็คิดกันไปว่าเสื้อลายดอกมันมีตั้งแต่อดีตสมัยบรรพบุรุษแล้ว   ซึ่งจริง ๆ ก็ไม่มีใครที่เป็นผู้กำหนดว่า   สงกรานต์ต้องใส่เสื้อลายดอก   เราใส่กันเหมือนอุปาทานหมู่   แต่ก็มีอีกหลาย ๆ ที่   เช่น ตามองค์กรของหน่วยงานรัฐ   หรือเอกชนหลายที่กำหนดให้พนักงานในองค์กรต้องสวมเสื้อลายดอกมาทำงานในช่วงเทศกาลสงกรานต์   ซึ่งในมหาวิทยาลัยที่ผู้เขียนเรียนอยู่   ก็เห็นภาพอาจารย์ในมหาวิทยาลัยหลายคนใส่เสื้อลายดอกมาสอน   ภาพเหล่านี้เหมือนเป็นการจำลองเหตุการณ์ในอดีต  อนุรักษ์ความเป็นไทย  ที่เข้าใจว่าคนไทยในสมัยโบราณใส่เสื้อลายดอก  เมื่อถึงช่วงเทศกาลสงกรานต์ ที่ผู้เขียนมองว่าเป็นช่วงแห่งการโชว์วัฒนธรรม  เป็นการโหยหาอดีต (nostalgia)   อะไร ๆ ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นไทยก็ถูกนำมาใช้อีกครั้ง   เพื่อแสดงถึงความเป็นเจ้าของวัฒนธรรม   เสื้อลายดอกจึงถูกนำมาแทนภาพจำลองของวัฒนธรรมไทยในอดีต   โดยปีนี้จังหวัดสุโขทัยได้จัดงาน สงกรานต์เสื้อลายดอก ถนนข้าวตอกสุโขทัย” ขึ้น   โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสืบสานขนบธรรมเนียมประเพณี และวัฒนธรรมไทยที่ดีงามของท้องถิ่น   ก็เปรียบเสมือนแห่งรวมภาพจำลองในอดีต (semulation) ชั้นดี  ที่กลายเป็น hyper reality คือโลกเหนือความจริงที่ยิ่งกว่าจริง   เพราะการจัดงานย้อนยุคเหมือนเป็นการจำลองก็อปปี้เหตุการณ์ในอดีต  ให้เราหลงเข้าใจว่าสมัยก่อนเป็นแบบนั้น  ทั้งที่เราก็ไม่รู้ว่ามันจริงแท้แค่ไหน

โดยส่วนตัวผู้เขียนแล้วมองว่า   ถ้าจะบอกว่าเสื้อลายดอกเป็นวัฒนธรรมไทยก็คงไม่ใช่เสียทั้งหมด   แต่มองว่าเป็นการแต่งตัวตามสมัยนิยมก็น่าจะเข้าข่ายมากกว่า   เพราะเสื้อลายดอกได้รับอิทธิพลมาจากต่างประเทศ  และเพิ่งมีเสื้อลายดอกมาได้ไม่กี่ปี  เพียงแต่หลาย ๆ สื่อ   เช่นภาพยนตร์  ละคร  มักจะหยิบเอาเสื้อลายดอกมาเป็นตัวแทนของความเป็นลูกทุ่ง  ภูธร   เมื่อภาพเหล่านั้นฉายซ้ำ ๆ ทำให้เราคิดกันไปว่าคนไทยใส่ลายดอกมานานแล้ว   และสีสันที่สดใสของเสื้อลายดอก   จึงถูกนำไปผูกกับประเพณีสงกรานต์  ว่าต้องเป็นลายดอกถึงจะมีความเป็นไทย   โดยอาจจะมีแนวคิดเรื่องทุนนิยมเข้ามาผสม  นายทุนที่ต้องการจะสร้างค่านิยมอะไรสักอย่างในช่วงเทศกาล   ที่ต่างไปจากวันธรรมดาทั่วไป  เช่น  วันวาเลนไทน์ต้องให้ดอกกุหลาบ   วันตรุษจีนต้องใส่เสื้อใหม่สีแดง   เป็นต้น  จึงใช้โอกาสนี้ทำการตลาดเพื่อสร้างค่านิยมใหม่ ๆ ขึ้นมา    เพราะสินค้าที่เจาะจงเฉพาะเทศกาลย่อมทำผลกำไรได้เป็นกอบเป็นกำ

สุดท้ายก่อนจะจบบทความชิ้นนี้ผู้เขียนขอเขียนนอกเรื่องเทศกาลสงกรานต์นิดนึง  สำหรับคนไทยแล้วเสื้อเป็นมากกว่าแค่สิ่งที่นำมาสวมใส่เพื่อปกปิดร่างกาย   แต่มันถูกทำให้เป็นสัญญะบางอย่างในหลาย ๆ เหตุการณ์ที่ผ่านมา   ตัวอย่างที่เห็นกันชัด ๆ เมื่อไม่กี่ปีมานี้   เรารักกันเพราะเสื้อที่ใส่   เกลียดกันก็เพราะเสื้อที่ใส่  ทำให้ผู้เขียนคิดว่า “เรากำลังอยู่ในยุคที่คนมองกันแค่เพียงเปลือกนอก ตีค่าคนจากสิ่งที่สวมใส่  มากเกินไป  หรือไม่อย่างไร?”